การสื่อสารเพื่อการสร้างทีมงานทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ตอนที่ 1
ไม่ว่าจะเป็นแวดวงธุรกิจใด การสร้างทีมงานเป็นมักเป็นสิ่งสำคัญเสมอ เพราะทีมงานที่มีประสิทธิภาพมักเป็นกลไกที่สร้างผลงานที่ดีเสมอ เครื่องมือที่สำคัญมากคือ “การสื่อสาร” การสื่อสารภายในทีมนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสื่อสารนั้นเป็นได้ทั้งแรงจูงใจ และตัวบ่อนทำลายกำลังใจได้ในคราวเดียวกัน
การสื่อสารภายในทีมสามารถสร้างความกลมเกลียวได้อย่างเหนียวแน่น และการสื่อสารก็สามารถสร้างความเลวร้าย และทำลายความเชื่อใจ ความเข้าใจ และก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ การสร้างแรงผลักดันและการสร้างทัศนคติที่ดีให้กับทีมและองค์กรในภาพรวมได้ถือเป็นเรื่องสำคัญ
เข้าใจธรรมชาติของทีมงาน การทำความเข้าใจธรรมชาติของทีมนั้น เป็นสิ่งแรกที่เราควรตระหนัก ทีมงานอาจประกอบไปด้วยคนที่รักกันเหนียวแน่น หรือไม่กินเส้นกันเลยก็ได้ นั้นยังไม่รวมถึงการที่เราดต้องทราบด้วยว่าใครกันแน่เป็นผู้นำและผู้ติดตามประจำกลุ่ม หากคุณต้องการสร้างทีมที่อยู่อย่างมีความสุข หรือสามารถจูงใจเพื่อนร่วมงานได้คุณจะต้องเข้าใจธรรมชาติของทีมงานเสียก่อน
ธรรมชาติของทีมนั้นเป็นได้หลายรูปแบบ และธรรมชาติของทีมนั้นมักเป็นไปอย่างไม่รู้ตัว ไม่ว่าองค์กรนั้นจะมอบตำแหน่ง หรือสถานะใดให้คุณหรือเพื่อนในทีม แต่ใครล่ะที่เป็นผู้นำและผู้ตามในองค์กรของคุณอย่างแท้จริง แล้วในทีมงานของคุณนั้นมีการแก่งแย่งอำนาจกันหรือเปล่า แล้วคุณล่ะ คุณมีอำนาจหรือ อิทธิพลมากขนาดไหน เชื่อมั้ย ภาษากายนั้นสามารถบอกได้ชัดเจนถึงสถานการณ์ณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อคุณเข้าใจถึงตำแหน่งอำนาจที่มองไม่เห็นแล้ว คุณจะรู้ว่าใครเป็น ขาใหญ่ตัวจริงในทีมของคุณ
ท่าทางสบาย สบาย คนที่มีอำนาจจะมีทีท่าสบาย สบาย เพราะเขามีอำนาจควบคุมสั่งการได้ ทั้งนี้ก็ด้วยการที่เขาไม่มีความกังวลในการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง
ท่าทางที่เป็นกันเอง เช่นเดียวกัน ถ้าใครนั่งประสานมือไว้ที่ท้าทอยแล้วเอนหลังพิงกำแพงหรือโต๊ะแล้วล่ะก็ คนนี้แหละใช่เลย
นั่งคร่อมเก้าอี้ ท่าคร่อมเก้าอี้เข้าหาพนักพิงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด เพราะเป็นการแสดงออกว่าเขาเป็นเจ้าของอาณาเขตรอบเก้าอี้ และกำลังเปล่งพลังอำนาจออกมา แล้วใครที่รักกันอย่างแนบแน่นในทีมบ้าง?
เลียนแบบท่าทาง สังเกตดูสิว่าเพื่อนร่วมงานกำลังเลียนแบบท่าทางและการยืนของคุณอยู่หรือเปล่า ? ถ้าใช่แสดงว่าคุณกับเขาเป็นพวกเดียวกันแล้วล่ะ
ความใกล้ชิด ผู้ที่ชอบพอกันในทีมมักสบตา ยิ้มหัว และหันหน้าเข้ากันในขณะสนทนา โดยมากมักจะยืนหรือนั่งใกล้กับคนที่ตนชื่นชอบอีกด้วย หากสมาธิในทีมเกิดอาการไม่กินเส้นกัน ไม่มองหน้าและรังแต่จะเบือนหน้าหนี แสดงว่าเขาไม่ลงรอยกับกลุ่มและยังรู้สึกไม่สนิทใจอีกด้วย
“สังเกตภาษากายที่ชัดเจน จากเพื่อนร่วมงาน เพื่อพิจารณาว่าใครเป็นผู้กุมอำนาจกันแน่”
บอกความลับบ้างก็ได้ หากคุณอยากสร้างความสนิทสนมการบอกเล่าความลับถือเป็นวิธีการที่ดีที่ใช้ได้กับทั้งในทางธุรกิจและชีวิตส่วนตัว คุณได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันและที่เหนือกว่านั้นคือคุณจะได้รับการปฏิบัติในลักษณะเดียวกันกลับมาประโยชน์ที่ได้รับจากการแบ่งปัน ความลับเพื่อพัฒนาการสื่อสารเชิงธุรกิจ มีดังนี้
ถ้าคุณเชื่อใจเขา เขาก็จะเชื่อใจคุณ เกิดเป็นการสื่อสารที่เปิดเผยและ ความรู้สึก “ร่วมภายในทีม” นั้นเพราะว่าสมาชิกภายในทีมยอมถอด “หน้ากาก” ที่ใส่เอาไว้เพื่อปกป้องตนเองในสถานการณ์ทางธุรกิจ
การบอกเล่าความลับต่อกันเป็นวิธีที่ทำให้คุณรู้จักคนผู้นั้นมากขึ้น นี่ถือเป็นเครื่องมือที่ดีที่ใช้ในการโน้มน้าวจิตใจผู้อื่น ยิ่งคุณรู้ถึงความจำเป็นและความต้องการของเขามากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถช่วยเหลือให้เขาได้รับสิ่งเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น นอกจากการเล่าความลับให้เพื่อนร่วมงานฟังแล้ว คุณยังสามารถสร้างความสนิทสนมกับลูกค้าด้วยวิธีเดียวกันนี้ได้นี่คือ กฎง่ายๆ ของการสร้างมิตรภาพ ถ้าคุณคิดว่าเขาเจตนาดีกับคุณและเขาขอร้องให้คุณช่วยเหลือ คุณก็จะอยากช่วยเหลือเขา เราไม่ได้แนะว่าคุณควรเล่าความลับส่วนตัวของคุณให้ทุกคนฟังทั้งหมดหรือป่าวประกาศในเรื่องที่ไม่สมควรเล่า ในสถานการณ์เชิงธุรกิจเพียงแต่ว่าคุณควรสื่ออารมณ์ความรู้สึกที่บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า คุณกำลังป้องปากเล่าเรื่องลับๆให้เขาฟังเป็นคนแรกต่างหาก
การผูกมิตรอย่างแน่นแฟ้น การผูกมิตรกับผู้อื่นทำให้คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานที่แข็งแกร่งอันเกิดจากความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจและความเคารพมิตรภาพเป็นเสมือนสะพานเชื่อมผู้คนต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน และมันก็สร้างขึ้นผ่านทักษะการสื่อสารที่ทรงพลัง บางครั้งความรู้สึกเป็นมิตรก็เป็นไปเองตามธรรมชาติแต่คุณเองก็สามารถสร้างความเป็นมิตรนี้ได้โดยใช้วิธีง่ายๆ คุณอาจจะมีวิธีการพูด ใช้คำพูดและท่าทางการแสดงออกที่เหมือนกันโดยไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเดินเข้าไปในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยผู้คน ให้สังเกตว่าคนที่สนิทสนมกันจะนั่งหรือยืนในท่าทางที่คล้ายกัน หรือแสดงท่าทางที่คล้ายกัน นี่คือ สิ่งที่เราเรียกว่าการทำตามหรือกระจกเงานั่นเอง
หากคุณใช้เทคนิคนี้เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน คุณจะต้องทำเหมือนกับว่าท่าทางเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ การสังเกตท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่าย ใช้วิธีการทำตามโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว จะเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีและสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันได้