Burnout (เบิร์นเอาท์): เมื่อไฟในตัวมอดดับ
สภาวะที่เกิดจากความเครียดสะสมเรื้อรัง ทำให้บุคคลรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง หมดความกระตือรือร้นในการทำงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยชอบ
โดย ธีรพงศ์ ประดิษฐ์กุล
ภาวะ Burnout หรือ ภาวะหมดไฟ คือ สภาวะที่เกิดจากความเครียดสะสมเรื้อรัง ทำให้บุคคลรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง หมดความกระตือรือร้นในการทำงาน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยชอบ และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคล องค์กร และสังคมรอบข้างอย่างกว้างขวาง ผลกระทบเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายด้าน
สาเหตุของภาวะ Burnout
ความเครียดจากการทำงาน: ปริมาณงานที่มากเกินไป ความกดดันในการทำงาน ความไม่พอใจในงาน หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในที่ทำงาน และอีกหลายสาเหตุเช่น
- ภาระงานที่มากเกินไป: เมื่อปริมาณงานที่ได้รับมอบหมายมากเกินกว่าที่สามารถทำได้ทันเวลา หรือความคาดหวังในการทำงานสูงเกินไป จะก่อให้เกิดความเครียดและความกดดัน
ความไม่ชัดเจนในบทบาท: เมื่อพนักงานไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจน หรือมีความขัดแย้งกันในการทำงาน จะทำให้เกิดความไม่มั่นใจและความเครียด - ความสัมพันธ์ในที่ทำงานที่ไม่ดี: ปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หรือลูกค้า สามารถสร้างความเครียดและความวิตกกังวลได้
- สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย: สภาพแวดล้อมที่ทำงานที่แออัด ร้อน อากาศไม่ถ่ายเท หรือเสียงดัง สามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตและเพิ่มความเครียดได้
- การเปลี่ยนแปลงในที่ทำงาน: การปรับโครงสร้างองค์กร การเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือการย้ายงาน สามารถสร้างความไม่แน่นอนและความเครียดได้
- ความขัดแย้งระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน: การแบ่งเวลาในการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ไม่สมดุล อาจทำให้เกิดความเครียดและส่งผลกระทบต่อทั้งสองด้าน
- ปัจจัยส่วนบุคคล: บุคลิกภาพที่ชอบกังวล หรือมีแนวโน้มที่จะเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง ก็อาจเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดความเครียดจากการทำงานได้
ความไม่สมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัว:
ความไม่สมบูรณ์ของชีวิตส่วนตัวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการขาดเวลาให้กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือการทำกิจกรรมที่ตนเองรัก การขาดความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ไม่ราบรื่น สาเหตุของความไม่สมบูรณ์ในชีวิตส่วนตัว
- งานหนักเกินไป: การทุ่มเทให้กับงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัวและเพื่อนฝูง
- ความคาดหวังที่สูงเกินไป: การตั้งเป้าหมายที่สูงเกินจริง หรือการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
- ความเครียด: ความเครียดจากการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือปัญหาส่วนตัวอื่น ๆ สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว
- ขาดทักษะในการจัดการเวลา: ไม่สามารถแบ่งเวลาให้กับแต่ละด้านของชีวิตได้อย่างเหมาะสม
- ความเปลี่ยนแปลงในชีวิต: การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน การสูญเสียคนรัก หรือการมีลูก สามารถทำให้ชีวิตส่วนตัวเกิดความไม่สมดุลได้
ผลกระทบจากภาวะ Burnout
ภาวะ Burnout หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงานนั้นส่งผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคล องค์กร และสังคมรอบข้างอย่างกว้างขวาง ผลกระทบเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายด้าน ดังนี้
ผลกระทบต่อบุคคล
• สุขภาพกาย: เกิดอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น ปวดหัวเรื้อรัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง และอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคภูมิแพ้
• สุขภาพจิต: รู้สึกหดหู่ เศร้า หมดหวัง กังวล วิตกกังวล อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า หรือความผิดปกติทางจิตเวชอื่น ๆ
• ประสิทธิภาพในการทำงาน: ทำงานได้ไม่เต็มที่ ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน ผิดพลาดในการทำงานบ่อยขึ้น
• ความสัมพันธ์ส่วนตัว: เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือคู่สมรส เนื่องจากขาดความอดทนและอารมณ์หงุดหงิดง่าย
• คุณภาพชีวิต: ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม ทำให้รู้สึกไม่มีความสุขและไม่สามารถเพลิดเพลินกับชีวิตได้
ผลกระทบต่อองค์กร
• ประสิทธิภาพการทำงานลดลง: ส่งผลให้ผลผลิตลดลง คุณภาพงานด้อยลง และเกิดความล่าช้าในการทำงาน
• การหมุนเวียนของบุคลากรสูง: พนักงานที่เผชิญกับภาวะ Burnout มักจะลาออกจากงาน ทำให้เกิดต้นทุนในการคัดเลือกและฝึกอบรมพนักงานใหม่
• ภาพลักษณ์องค์กรเสียหาย: หากพนักงานหลายคนเผชิญกับภาวะ Burnout อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และทำให้ยากต่อการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน
• ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพพนักงานเพิ่มขึ้น: องค์กรอาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพพนักงานที่ป่วยจากภาวะ Burnout
ผลกระทบต่อสังคม
• การสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพ: ภาวะ Burnout ทำให้บุคลากรที่มีความสามารถลาออกจากงาน ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ
• ปัญหาสุขภาพสาธารณะ: การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล
การหลีกเลี่ยงจาก Burnout ตัวเราเองจะสามารถจัดการได้อย่างไร ?
การหลีกเลี่ยงภาวะ Burnout หรือ ภาวะหมดไฟนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะหากปล่อยไว้ อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ และประสิทธิภาพในการทำงานได้ ดังนั้น การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
วิธีหลีกเลี่ยงภาวะ Burnout
1. จัดการเวลา:
- แบ่งเวลาให้ชัดเจน: แบ่งเวลาในการทำงาน พักผ่อน และทำกิจกรรมส่วนตัวอย่างชัดเจน
- ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง: ตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้จริง และแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อให้รู้สึกว่างานไม่หนักเกินไป
- เรียนรู้ที่จะพูดไม่: หากงานมากเกินไป ให้เรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานบางอย่างเพื่อลดภาระงาน
2. ดูแลสุขภาพ:
- พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ช่วยลดความเครียดและเพิ่มพลังงาน
- กินอาหารที่มีประโยชน์: รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ร่างกายสดชื่นและทำงานได้ดีขึ้น
3. สร้างความสมดุล:
- หาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ: เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือออกไปเที่ยว
- ใช้เวลาอยู่กับคนที่รัก: การพูดคุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและได้รับกำลังใจ
- เรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย: เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือ ฟังเพลงเบา ๆ
4. สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี:
- จัดระเบียบโต๊ะทำงาน: ทำให้โต๊ะทำงานสะอาดและเป็นระเบียบ
- สร้างบรรยากาศที่ดี: ตกแต่งโต๊ะทำงานด้วยสิ่งของที่ชอบ เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย
- สื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อขอความช่วยเหลือหรือแบ่งปันปัญหาได้
5. เรียนรู้ที่จะรับมือกับความเครียด:
- ฝึกการหายใจลึก ๆ: ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย
- ทำสมาธิ: ช่วยลดความเครียดและเพิ่มสมาธิ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากรู้สึกว่าจัดการกับความเครียดไม่ไหว ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา
องค์กรสามารถช่วยหลีกเลี่ยงภาวะ Burnout ของพนักงานได้ด้วยวิธีการอย่างไร ?
1. สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี:
- บรรยากาศที่เป็นมิตร: ส่งเสริมให้พนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์
- ความชัดเจนในบทบาท: กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงานแต่ละคนให้ชัดเจน เพื่อลดความสับสนและความกดดัน
- สภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม: สถานที่ทำงานที่สะอาด สว่าง และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
- ความยืดหยุ่น: อนุญาตให้พนักงานทำงานแบบยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากระยะไกล หรือการเลือกเวลาทำงาน
2. สนับสนุนสุขภาพของพนักงาน:
- ส่งเสริมสุขภาพกาย: จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การตรวจสุขภาพประจำปี
- ดูแลสุขภาพจิต: จัดเตรียมช่องทางให้พนักงานได้ปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต เช่น การปรึกษาจิตแพทย์
- ให้เวลาพักผ่อน: ส่งเสริมให้พนักงานลาพักร้อน และมีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ
3. พัฒนาการเติบโตของพนักงาน:
- ให้โอกาสในการเรียนรู้: จัดอบรม หรือส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
- ให้โอกาสในการเติบโต: สร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจน และให้โอกาสในการเลื่อนขั้น
- รับฟังความคิดเห็นของพนักงาน: จัดการประชุมเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากพนักงาน และนำไปปรับปรุงการทำงาน
4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี:
- ส่งเสริมความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว: อนุญาตให้พนักงานลาเพื่อเหตุผลส่วนตัว
- สร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร: จัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงาน
- ให้รางวัลและการยอมรับ: ให้รางวัลแก่พนักงานที่ทำงานดี เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจ
5. จัดการกับภาระงาน:
- แบ่งงาน: แบ่งงานให้เหมาะสมกับความสามารถของแต่ละคน
- ลดงานที่ไม่จำเป็น: ตรวจสอบและลดงานที่ไม่จำเป็นออกไป
- เพิ่มทรัพยากร: หากจำเป็น อาจต้องเพิ่มบุคลากรหรือเครื่องมือในการทำงาน
6. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้อง:
- สื่อสารอย่างเปิดเผย: สร้างบรรยากาศที่เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถพูดคุยและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
- ให้คำแนะนำและคำติชม: ให้คำแนะนำและคำติชมอย่างสร้างสรรค์
- ให้การสนับสนุน: ให้การสนับสนุนพนักงานในการทำงาน