การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย ต้องทำอย่างไร?
ภายใต้โครงการ Thailand Voluntary Emission Reduction Program หรือ T-VER
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch Center) ได้ให้ข้อมูลเรื่องของ ‘คาร์บอนเครดิตในประเทศไทย’ พร้อมให้ความกระจ่างถึงเงื่อนไขและปัจจัยที่ต้องพิจารณาถึงการได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต รวมทั้งข้อมูลการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย
คาร์บอนเครดิตในประเทศไทย
การดำเนินการที่ลดหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจก จะต้องได้รับการรับรองโดยหน่วยงานรับรองตามระเบียบหรือเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อขึ้นทะเบียนโครงการและได้รับคาร์บอนเครดิต
โดยในประเทศไทยมีการจัดทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ชื่อว่า Thailand Voluntary Emission Reduction Program หรือ T-VER ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นหน่วยงานขึ้นทะเบียนโครงการและให้การรับรองคาร์บอนเครดิต โดยเป็นกลไกคาร์บอนเครดิตในรูปแบบ Governmental Crediting Mechanism
ทั้งนี้ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่สามารถขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER เพื่อรับรองคาร์บอนเครดิต จะครอบคลุมการลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3 ชนิด ได้แก่ CO2 CH4 และ N2O แต่ต้องเข้าข่าย 7 ประเภทโครงการหลักตามที่ อบก. กำหนด ดังนี้ 1. Renewable Energy 2. Factory 3. Transport 4. Waste 5. Energy Efficiency 6. Land Use 7. Carbon Capture Utilization and Storage
โดยมีตัวอย่างโครงการคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยที่ได้ดำเนินการแล้ว ตามตารางที่ 1
พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตได้อย่างไร?
- ขั้นตอนแรกก่อนเริ่มพัฒนาโครงการ ผู้พัฒนาโครงการจำเป็นต้องประเมินคาร์บอนฟุตพรินท์ เพื่อทราบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง โดยสามารถวัดได้ในรูปแบบของคาร์บอนฟุตพรินท์องค์กร (CFO) หรือ คาร์บอนฟุตพรินท์ผลิตภัณฑ์ (CFP) เพื่อประเมินหากิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก หรือ Emission Hotspots
- จากนั้นจะเป็นการหาแนวทางเพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมนั้น ๆ ผ่านการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตได้ผ่าน อบก. ตามระเบียบ และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องที่ อบก. กำหนด
- ขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER เพื่อการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก และเมื่อดำเนินโครงการสำเร็จจึงสามารถขอรับรองคาร์บอนเครดิตจาก อบก.
ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้พัฒนาโครงการต้องพิจารณาในการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิต ได้แก่
- ต้นทุนการดำเนินโครงการ เช่น ต้นทุนค่าธรรมเนียมโครงการ T-VER แก่ อบก. ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนโครงการ 5,000 บาทต่อโครงการ และค่าธรรมเนียมขอรับรองคาร์บอนเครดิต 5,000 บาทต่อคำขอ รวมถึงต้นทุนค่าดำเนินงานอื่น ๆ เช่น เงินลงทุนการเปลี่ยนอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องจักร เป็นต้น
- ต้นทุนแก่ผู้ประเมินประเมินภายนอก (Third Party Verification) ได้แก่ ต้นทุนตรวจสอบโครงการ และปริมาณก๊าซเรือนกระจก ซึ่งขึ้นอยู่กับความซับซ้อน และแตกต่างไปตามประเภทของโครงการ ซึ่งอาจอยู่ที่ประมาณ 40,000 – 65,000 บาทต่อโครงการ (รายชื่อผู้ประเมินภายนอกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดย อบก.)
- ข้อจำกัด เช่น โครงการประเภทป่าไม้จะมีข้อกำหนดขนาดแปลงขั้นต่ำ 10 ไร่ การถือครองเอกสารสิทธิ์ในการใช้ที่ดิน ข้อกำหนดรอบตัดฟันไม้ในพื้นที่โครงการระยะเวลา 10 ปี หรือโครงการประเภทอื่น ๆ ต้องเป็นกิจกรรมที่เพิ่มเติมจากการดำเนินการในรูปแบบปกติ (Additionality) จึงจะสามารถขอรับรองคาร์บอนเครดิตได้
ท้ายที่สุด ประเด็นด้านต้นทุนการดำเนินการ ต้นทุนค่าประเมินและรับรองคาร์บอนเครดิต รวมถึงข้อจำกัดในการทำโครงการต่าง ๆ คงเป็นปัจจัยที่ยังคงเหนี่ยวรั้งการเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศ
โดยเฉพาะจากผู้พัฒนาโครงการรายเล็กที่ขาดแคลนเงินทุน แต่มีศักยภาพและความพร้อมที่จะพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต โดยเฉพาะภาคป่าไม้ที่เป็นที่ต้องการในอนาคต ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาปิดช่องว่างเหล่านี้ ตลาดคาร์บอนเครดิตไทยน่าจะก้าวทันโลก และมีส่วนช่วยให้ตอบโจทย์การเป็นประเทศปลอดคาร์บอนในปี พ.ศ. 2608 ของประเทศไทยอย่างแน่นอน