Push to Stop
ไฮเดลเบิร์กทำให้เกิดระบบการพิมพ์อัตโนมัติขึ้นจริง
-
รูปแบบของการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตงานพิมพ์ที่สามารถเพิ่มผลผลิตขึ้นเป็น 2 เท่าได้ภายใน 1 ปี
-
ความสะดวกง่ายดายอย่างที่สุดในการควบคุมเครื่องพิมพ์ด้วยระบบ Intelliststart 2 และระบบ Intelliguide ที่คอยช่วยเหลืออย่างชาญฉลาด
-
กลุ่มผู้ผลิตงานบรรจุภัณฑ์ที่ต้องพบกับงานที่ซับซ้อนจะได้รับผลประโยชน์อย่างยิ่ง ด้วยตัวช่วยนำทางในการพิมพ์ ซึ่งจะสามารถช่วยลดเวลาในการบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
-
การพิมพ์อัตโนมัติได้กลายเป็นความจริงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตงานคอมเมอร์เชี่ยลที่จะสามารถเปลี่ยนงานได้มากยิ่งขึ้น
ธุรกิจการพิมพ์ทุกวันนี้ มีกระบวนการการทำงานที่เป็นรูปแบบของดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งสามารถผลิตงานได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพดีขึ้น และเพื่อให้ได้เปรียบในเชิงเทคนิคมากที่สุด ด้วยความสมบูรณ์แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สิ่งที่ช่างพิมพ์ต้องการนั้นกำลังจะเป็นจริง ด้วยเครื่องนี้จะทำให้ช่างพิมพ์ไม่ต้องยุ่งยากกับสิ่งที่ต้องทำทุกวันเหมือนอย่างแต่ก่อน ด้วยตัวช่วยที่มีความอัจฉริยะช่างพิมพ์สามารถเรียนรู้เทคนิคการใช้เครื่องนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีเยี่ยม
ด้วยความคิดริเริ่มเหล่านี้ ทางไฮเดลเบิร์กจึงนำเสนอเครื่องพิมพ์ Speedmaster รุ่นใหม่ที่งานดรูป้า 2016 และกำลังจะนำไปสู่รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งพิมพ์ในนิยามใหม่ ที่เรียกว่า Push to Stop เนื่องด้วยในทุกวันนี้กระบวนการการสั่งงาน ทำโดยช่างพิมพ์เป็นหลัก แต่ในอนาคตอันใกล้เครื่องพิมพ์จะสั่งงานโดยอัตโนมัติด้วยตัวเอง โดยช่างพิมพ์จะทำงานในระบบอัตโนมัติเท่าที่จำเป็นเท่านั้น สิ่งนี้จะช่วยยกระดับความสามารถในการพิมพ์ ซึ่งก่อนนี้ไม่สามารถทำให้เป็นไปได้ จึงทำให้สามารถวางแผนการผลิตได้ดียิ่งขึ้น และสามารถควบคุมจังหวะการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่จะเกิดความผิดพลาดน้อยลง
เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา การพิมพ์ระบบออฟเซ็ตสามารถผลิตงานพิมพ์ที่ระดับ 20-30 ล้านแผ่นต่อปีแต่ในปัจจุบันนี้สามารถเพิ่มยอดพิมพ์ขึ้นเป็น 2 เท่าคือ 40-60 ล้านแผ่นต่อปี ไฮเดลเบิร์กได้เป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้านี้ ด้วยการทำให้การผลิตงานเสร็จในรอบพิมพ์เดียว โดยระบบบริหารจัดการพริ้นเน็คต์ (Prinect) การพัฒนาเครื่องพิมพ์ระดับสูงในรุ่น Speedmaster XL และระบบการวัดค่าและระบบควบคุมการทำงาน
ปัจจุบันแนวโน้มของงานพิมพ์มีจำนวนยอดพิมพ์ที่สั้น และจะมีการเปลี่ยนงานพิมพ์มากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยตอนนี้มาตรฐานงานพิมพ์จะอยู่ที่ 10 งานต่อวัน และกำลังจะเป็น 10 งานต่อกะ หรือในขณะเดียวกันโรงพิมพ์คอมเมอร์เชี่ยลบางแห่งต้องทำ 10 งานหรือมากกว่าภายใน 1 ชั่วโมงการทำงาน ด้วยปริมาณงานที่มากขนาดนี้จะส่งผลต่อการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
“แค่มีระบบอัตโนมัติยังไม่เพียงพอสำหรับการเพิ่มกำลังการผลิตให้มากยิ่งขึ้น แต่การใช้งานที่ง่ายและมีความเสถียรของระบบคือสิ่งที่จะช่วยได้อย่างดี” คุณสเตฟาน เพล้นซ์ (Stephan Plenz) หนึ่งในกรรมการบริหารซึ่งรับผิดชอบดูแลเครื่องจักรและอุปกรณ์การพิมพ์ของไฮเดลเบิร์กอธิบาย
“เราต้องคิดถึงแนวทางใหม่เกี่ยวกับเครื่องพิมพ์และการจัดการข้อมูลดิจิตอลในระบบการทำงาน ที่ชัดเจน เราจะมีการปรับเปลี่ยนแนวความคิด โดยคิดต่อจากแนวความคิด Push to Start ให้กลายเป็นแนวคิด Push to Stop ปัจจุบันผู้ใช้งานจะต้องกดเพื่อสั่งเริ่มต้นงานให้กับเครื่องพิมพ์ แต่ในอนาคตเครื่องจักรจะเริ่มต้นการทำงานเองในส่วนที่สามารถทำได้ เริ่มต้นการทำงานแบบอัตโนมัติด้วยตัวเองตามคิวงานพิมพ์ โดยเครื่องจะทำในแนวทางตามที่ควรทำ เริ่มต้นงานพิมพ์ด้วยขั้นตอนที่น้อยที่สุด ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตในจำนวนมากเป็นผลลัพธ์ ผู้ใช้งานจะทำแค่บางขั้นตอนการผลิต หากมีบางสิ่งที่ต้องแก้ไข”
จากผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักร หรือ OEE สำหรับเครื่องพิมพ์นั้นพบว่า ปัจจุบันผู้ใช้งานสามารถใช้งานเครื่องจักรได้เพียง 20-30 % ของประสิทธิภาพจริงเท่านั้น นั่นหมายถึง ยังมีโอกาสอีกมากในการดึงประสิทธิภาพออกมาใช้ให้เต็มที่ การศึกษาพบว่าหาก OEE สูงขึ้นถึง 50% นั่นหมายถึง ความสามารถเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นได้ถึงเท่าตัว
“แนวความคิด Push to Stop ของเราครอบคลุมในมุมที่กว้างมาก” คุณสเตฟาน เพล้นซ์ ยืนยัน “ในการจะทำให้ได้ OEE ที่ 50% หรือมากกว่านี้ ทุกๆส่วนในกระบวนการจะต้องทำงานสอดคล้องต่อเนื่องกันอย่างสมบูรณ์แบบ หมายรวมถึงการสร้างมาตรฐานในการทำงาน การใช้วัสดุและอุปกรณ์ทางการพิมพ์ที่มีคุณภาพ การสอบเทียบกระบวนการ และระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาอย่างชาญฉลาด จากการยึดในแนวคิด Push to Stop นี้ พร้อมคำแนะนำจากผู้ชำนาญการและเชี่ยวชาญในการผลิตงานของเรา การเติบโตของกลุ่มสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ทางการพิมพ์คุณภาพของเรา และวิวัฒนาการแนวคิดในการให้บริการของเรา งานดรูป้านับเป็นการเริ่มต้นของ Smart Print Shop และจะดำเนินต่อเนื่องต่อไป”
กุญแจสำคัญการทำงานที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ
แนวความคิดการทำงานแบบ “Push to Stop” สำเร็จได้ด้วยเครื่องพิมพ์ในรุ่น Speedmaster พร้อมโต๊ะควบคุมการทำงานรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า Prinect Press Center XL2 พร้อมซอฟต์แวร์ที่ชาญฉลาด Intellistart 2 และระบบที่คอยช่วยเหลืออย่าง Intelliguide ผู้ใช้งานจะเห็นขั้นตอนการทำงานอย่างชัดเจนและสามารถทำตามขั้นตอนที่แสดงนั้น บนหน้าจอขนาดใหญ่ของ Wallscreen XL ด้วยการใช้งานเชื่อมต่อระหว่างเครื่องจักรและผู้ใช้งานนี้ ผู้ใช้งานสามารถตรวจเช็คขั้นตอนการทำงานและดูภาพรวมทั้งหมดแม้มีงานที่ต้องทำการเปลี่ยนแปลงจำนวนมาก นี่คือการขยายไปสู่การพิมพ์งานแบบอัตโนมัติ วิธีการอัจฉริยะนี้ได้เริ่มต้นขึ้นโดยอัตโนมัติตามลำดับงานที่วางไว้ ผู้ใช้งานเพียงแค่คอยขัดจังหวะการทำงานหากจำเป็นเท่านั้น
“Push to stop” ยังคงแนวคิดเดิมและปัจจุบันได้ติดตั้งแล้วในเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ๆ อาทิ XL 75, CX/SX 102, XL 106 and XL 145/162 ซึ่งมีอุปกรณ์ครบครัน อาทิ Prinect Center XL 2, the Wallscreen XL and Autoplate Pro, Autoplate XL2 and Inpress control 2 พร้อมอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ด้วยระบบ “Push to stop” อุตสาหกรรมการพิมพ์ด้วยระบบออฟเซ็ต ซึ่งให้ผลผลิตสูงสุดกลายมาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ คุณสเตฟาน เพล้นซ์ กล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่แนวคิดนี้ สามารถใช้ได้กับเครื่องพิมพ์ดิจิตอลรุ่น Premefire 106 ซึ่งจะช่วยผลิตงานคุณภาพในปริมาณมากระดับอุตสาหกรรมได้เช่นกัน”
ระบบนำทางของแท่นพิมพ์
โต๊ะควบคุมการทำงาน Prinect press center XL2 รุ่นใหม่ ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ Intellistart 2 และระบบ Intelliguide assistance system ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรแล้ว หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2551 ไฮเดลเบิร์กประสบความสำเร็จในการริเริ่มการทำงานด้วยระบบ intellistart ซึ่งเป็นรุ่นแรกและยังคงเอกลักษณ์ในเรื่องของระบบความอัจฉริยะในการทำงาน ระบบ intellistart 2 ปัจจุบันได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้เข้าสู่ตลาดแล้ว เช่นเดียวกับระบบนำทางของรถยนตร์ intellistart 2 จะทำการคำนวณผลลัพธ์การตั้งเครื่องที่ให้ระยะเวลาที่เร็วและด้วยขั้นตอนที่สั้นที่สุด
ระบบใหม่ที่เรียกว่า intelliguide นี้ จะช่วยแสดงให้เห็นในเรื่องกรอบระยะเวลาการตั้งเครื่องตามเวลาจริง และเครื่องนี้จะช่วยให้ผุ้ใช้งานทำงานได้อย่างโปร่งใสในขณะที่ระบบอัตโนมัติทำงานอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกันก็ไม่ส่งผลกระทบหากเราต้องสั่งงานด้วยตนเอง ระบบสร้างความมั่นใจได้อย่างสูงเมื่อต้องเปลี่ยนแปลงงานจากรูปแบบหนึ่งไปยังงานต่อไป ระบบรองรับการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น ในเรื่องของการใช้หมึกหรือการเคลือบที่บ่อยขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับการพิมพ์บรรจุภัณฑ์อยู่แล้ว และระบบ intelliguide นี้ยังมีเอกลักษณ์พิเศษคือช่วยป้องกันความผิดพลาด และช่วยเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น
การเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง
โรงพิมพ์คอมเมอร์เชี่ยลยังคงดำเนินงานภายใต้มาตรฐานการทำงาน โดยมีการเปลี่ยนงานมากขึ้น ระบบ intellistart 2 ช่วยให้การพิมพ์ระบบอัตโนมัติเกิดขึ้นได้จริง และทำงานได้อย่างอิสระเป็นครั้งแรกที่สามารถเตรียมงานหลายๆ งานและจัดคิวการพิมพ์ในขณะที่เครื่องยังคงพิมพ์งานอยู่ อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถสั่งงานได้โดยลากแล้วปล่อยได้ในขณะที่ระบบ intellistart 2 กำลังคำนวณการจัดคิวงานที่เราเตรียมการไว้ โดยระบบจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนงานและทำงานด้วยตัวมันเอง
ณ จุดนี้ การทำงานร่วมกันกับ Prinect Inpress Control 2, ระบบซอฟต์แวร์ใหม่นี้ หรือที่เรียกว่า “Quality Assist” มีความสามารถพิเศษเฉพาะในการจดจำหรือบันทึกการสั่งงานไว้ล่วงหน้า ในขณะที่การพิมพ์งานนั้นยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ